วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

พระราหุลเถระและพระรัฏฐปาลเถระ10

picture_resize

พระราหุลเถระ และพระรัฎฐปาลรถะ

            พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระราหุลเถระ ผู้เป็นพระพุทธชิโนรสของพระองค์ว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายข้างมีความปรารถนาสิกขาทั้งสาม และมีความรักใคร่ศึกษาสำเหนียกสิกขาทั้งสามคือ อธิศีลสิกขา อธิจิตสิกขา อธิปัญญาสิกขา
            พระราหุลเถระนั้น จำเดิมแต่วันพระผู้มีพระภาคเจ้าบรรพชานั้น เมื่อลุกขึ้นแต่เพลาเช้าแล้ว ท่านก็กอบทรายให้เต็มพระหัตถ์ และปรารถนาว่า  ดังเราปรารถนาในเพลาวันนี้ เราพึงได้โอวาท และคำสั่งสอนแต่สำนักพระทศพลนั้นก็ดี  แต่สำนักพระอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ทั้งหลายก็ดี ให้ได้มากประมาณเท่าเมล็ดทรายในกำมือของเรานี้เถิด เหตุดังนั้นพระราหุลเถระ จึงบังเกิดนามว่าเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายข้างปรารถนาซึ่งความศึกษาสำเนียง
            มีพระมหาเถระอีกองค์หนึ่ง ซึ่งเป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายข้างบวชด้วยศรัทธา มีนามว่า พระรัฐปาลเถระ ท่านได้สดับพระสัทธรรมเทศนา แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า ท่านก็ได้มาซึ่งศรัทธาในพระพุทธศาสนา แล้วก็กระทำภัตตเฉทคือ อดอาหารไม่ฉันเลยถึง ๑๔ เวลา  ยังมารดาและบิดาให้อนุญาตซึ่งบรรพชา แล้วได้บรรพชาในพระพุทธศาสนา ท่านจึงได้บังเกิดนามว่า เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายข้างบวชด้วยศรัทธา
            ในอดีต ครั้งศาสนาแห่งพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้า พระราหุลเถระและพระรัฐปาลเถระ ทั้งสององค์ได้บังเกิดในตระกูลคหบดีมหาศาล มีสมบัติมากในเมืองหงสาวดี เมื่อบุตรคหบดีทั้งสอง เจริญวัยเติบใหญ่แล้ว ได้ให้หาชนสำหรับรักษาคลังรัตนะ พัสดุ ทรัพย์ของตนนั้น เข้ามาและได้เห็นทรัพย์ จะนับประมาณมิได้ จึงมาดำริว่า ชนทั้งหลายมีปู่และตา และบิดา เป็นอาทิของเรานี้ไม่อาจจะขนเอากองทรัพย์สมบัติทั้งปวง มีประมาณเท่านี้ไปด้วยกับตนได้ บัดนี้ควรเราทั้งหลายพึงคิดอ่านเอาทรัพย์ทั้งปวงนี้ไปด้วยอุบายอันใดอันหนึ่งให้จงได้
            ดำริฉะนี้แล้ว ทั้งสองก็ปรารถนา เพื่อจะบำเพ็ญมหาทาน ให้แก่ชนทั้งหลายมีชนกำพร้าและชนเดินทาง เป็นต้น ในประเทศทั้งสี่ตำบล ชนผู้ใดกล่าววาจาปรารถนา ซึ่งวัตถุสิ่งใดแล้ว ก็ย่อมให้วัตถุสิ่งนั้นแก่ชนผู้นั้น ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง คหบดีบุตรทั้งสองสหายชวนกันไปนอกบ้าน เพื่ออาบน้ำชำระร่างกายแต่เวลาเช้า สมัยนั้นยังมีพระดาบส ผู้ประกอบด้วย มหิทธิฤทธิ์ทั้งสององค์ ออกจากหิมวันตประเทศพากันมาโดยทางนภากาศเพื่อภิกขาจาร ได้พากันลงไปในประเทศ ที่ใกล้กันที่สองสหายอยู่นั้น สหายทั้งสองเห็นแล้วก็ชวนกันเข้าไปใกล้พระดาบส แล้วถวายนมัสการด้วยสัจจะเคารพ แล้วชวนกันรับภาชนะเปลือกน้ำเต้าจากดาบสทั้งสอง แล้วนำพระดาบสทั้งสองไปยังเรือนของตน ๆ ครั้นพระดาบสทั้งสองกระทำภัตตกิจเสร็จแล้ว ต่างคนต่างก็ถือเอาปฎิญาณ เพื่อจะให้พระดาบสทั้งสอง มารับภิกขาหารสิ้นกาลเป็นนิตย์ พระดาบสทั้งสองมีกายอันประกอบด้วยความกระวนกระวายเป็นปกติ จึงกระทำน้ำในมหาสมุทรให้แยกออกเป็นสองภาค ด้วยอานุภาพแห่งตนแล้ว ก็ลงไปสู่พิภพแห่งพระยาปฐวินทรนาคราช นั่งสำเร็จทิวาวิหารสบายอยู่ในนาคพิภพ ครั้นระงับกระวนกระวายแล้ว ก็กลับขึ้นมากระทำภัตตานุโมทนาว่า ภพอันเป็นที่อยู่ของท่านจะเป็นประหนึ่งว่า ภพอันเป็นที่อยู่แห่งพระยาปฐวินทรนาคราชนั้นเถิด
            ครั้นอยู่มาวันหนึ่ง  คหบดีผู้เป็นโยมอุปฐากได้ถาม พระดาบสทั้งสองว่า เมื่อกระทำภัตตานุโมทนานั้นท่านได้กล่าวแต่ว่า ภพอันเป็นที่อยู่แห่งท่านจะเป็นประหนึ่งว่า ภพอันเป็นที่อยู่แห่งพระยาปฐวินทรนาคราชนั้น ข้าพเจ้ายังไม่รู้อรรถธิบายนั้น พระดาบสจึงตอบว่า เรากล่าวว่าสมบัติแห่งท่าน จงให้เป็นเช่นกันกับด้วยสมบัติ แห่งพระยาปฐวินทรนาคราชเถิด  ตั้งแต่นั้นมากฎุมพีผู้นั้น ก็ตั้งจิตไว้ในพิภพแห่งพระยาปฐวินทรนาคราชปรารถนาจะใคร่ได้ บังเกิดในพิภพแห่งพระยาปฐวินทรนาคราชนั้น
            ฝ่ายพระดาบสองค์หนึ่งได้ไปยังดาวดึงส์สพิภพ สำเร็จอริยาบถทิวาวิหารอยู่สบายกลางวันในเสริสกวิมาน อันว่างเปล่าจากเทวบุตรและเทพธิดา และมากลับลงมาจากดาวดึงส์เทวโลก ได้เห็นทิพยสมบัติแห่งอมรินทราธิราช ผู้เป็นพระยาแห่งเทพยดาแล้ว เมื่อท่านกระทำภัตตานุโมทนาแก่คหบดีโยมอุปฐากแห่งตน  จึงกล่าวว่า วิมานแห่งท่าน จงเป็นประหนึ่งว่า วิมานแห่งอมรินทราธิราชเถิด ฝ่ายกฎุมพีผู้นั้นก็ถามพระดาบสดุจเดียวกับกฎุมพีผู้เป็นสหายไต่ถาม  พระดาบสก็บอกอรรถาธิบายให้แจ้ง กฎุมพีนั้นได้ฟังแล้วก็ตั้งจิตไว้ในพิภพแห่งอมรินทราธิราชนั้น
            กฎุมพีสองสหายนั้น  เมื่อทำลายเบญจขันธ์จากอัตภาพนั้นแล้ว ก็ได้ไปอุบัติในที่อันตนปรารถนา กฎุมพีผู้ได้ไปบังเกิดในภพแห่งปฐวินทรนาคราช บังเกิดนามว่า พระยาปฐวินทรนาคราช เมื่อบังเกิดแล้วเห็นอัตภาพแห่งตน ก็ให้บังเกิดวิปปฎิสารเดือดร้อนในใจว่า พระดาบสผู้เป็นชีต้นแห่งเรานี้มากล่าวพรรณาสรรเสริญ ที่อันมิได้เป็นที่เจริญใจแก่เรา พระดาบสหารู้จักที่อันอื่นไม่ เธอมาสรรเสริญที่อันเสือกไปเลื้อยไปด้วยอก และเที่ยวอยู่อย่างนี้แก่เรา ยิ่งรำพึงไปก็ยิ่งให้มีความเดือดร้อนใจยิ่งนัก ในขณะนั้นนางนาคกัญญาทั้งหลาย ต่างก็ถือเอาเครื่องดนตรีทิพทั้งหลาย มาขับกล่อมบำเรอพระยาปฐวินทรนาคราช อยู่ ณ ภายใต้ปฐพีมณฑลนั้น พระยานาคราชจึงละเสียซึ่งอัตตภาพที่เป็นนาคนั้น แล้วนฤมิตกายเป็นมานพหนุ่ม
            ณ  กาลครั้งนั้นกึ่งเดือนแล้ว ท้าวจาตุมหาราชทั้งสี่องค์ ย่อมพากันขึ้นไปเฝ้าอมรินทราธิราชในดาวดึงสพิภพ ดังนั้น พระยาปฐวินทรนาคราชจึงได้ขึ้นไปสู่ที่เฝ้า ท้าวสักรินทรเทวราชกับพระยานาคราช ผู้มีนามว่าท้าววิรูปักขมหาราช อมรินทราธิราชเห็นพระยาปฐวินทรนาคราชก็จำได้ จึงตรัสถามว่า ดูกรสหายบัดนี้ ท่านได้ไปบังเกิดในที่ดังฤา พระยาปฐวินทรนาคราชจึงทูลตอบว่า บัดนี้ข้าพระบาทได้ไปบังเกิดในที่อันเสือกไปเลื้อยไปด้วยอก ส่วนพระองค์ได้กัลยาณมิตรอันดี จึงมีคติดำเนินการอันชอบเห็นดังนี้ ท้าวโกสีห์จึงตรัสว่า ท่านอย่าได้ปริวิตกว่า เราได้ไปบังเกิดในกำเนิดอันใช่ที่ใช่ฐานฉะนี้เลย บัดนี้ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามว่า พระปทุมตตระได้อุบัติในโลกแล้ว ท่านจงอุตสาห์บำเพ็ญการกุศลที่อย่างยิ่งแก่พระผู้มีพระภาคนั้น แล้วจงปรารถนาซึ่งที่อันนี้เถิด  เราทั้งสองก็จะได้อยู่เป็นสุขสภาพด้วยกันในที่อันนี้
            พระยาปฐวินทรนาคราชรับเทวบัญชาแล้ว กลับมายังชมพูพิภพ แล้วจึงเชิญพระปทุมุตตรพุทธเจ้า แล้วสละสรรพเครื่องสักการะบูชาสิ้นราตรียังรุ่ง พร้อมด้วยนาคบริษัทในภพแห่งตน  ครั้นเวลาเช้าพระผู้มีพระภาคจึงมีพระพุทธฎีกาดำรัสเรียก พระสุมนเถระ ผู้เป็นพุทธอุปฐากแห่งพระองค์เข้ามาและตรัสว่า  วันนี้ตถาคตจะไปบิณฑบาตในประเทศอันไกล ภิกษุทั้งหลายที่ยังเป็นปถุชนอยู่นั้นอย่าได้มาเลย จงให้มาแต่ภิกษุทั้งหลาย บรรดาที่แตกฉานในห้องพระไตรปิฎก เป็นพระอรหันตปฎิสัมภิทาได้อภิญญา ๖ นั้นเถิด พระสุมนเถระจึงไปบอกกล่าวแก่ภิกษุทั้งปวง ครั้นนั้นพระภิกษุสงฆ์ทั้งหลายแสนหนึ่งจึงเหาะขึ้นสู่ห้องเวหา กับสมเด็จพระโลกนาถ ฝ่ายพระยาปฐวินทรนาคราชกับนาคบริษัท ก็พากันมากระทำปัจจุคมนาการต้อนรับสมเด็จพระทศพลญาณ
            เมื่อหมู่พระภิกษุสงฆ์ได้เหยียบย่ำระเบียบคลื่นระลอกไป ณ เบื้องบนกระแสสินธุ์สายสมุทรนั้น เมื่อแลดูสมเด็จพระศาสดา ตลอดไปถึงอุปเรวตสามเณร ผู้เป็นพระโอรส ของสมเด็จพระพุทธเจ้า ผู้เป็นที่สุดสงฆนวก แล้วก็ยังความปรีดาปราโมทย์ให้บังเกิดขึ้นด้วยดำริว่า พระอิทธานุภาพแห่งพระภิกษุทั้งหลาย อันเศษเห็นสภาวะปานฉะนี้ ก็หาสู้เป็นอัศจรรย์นักไม่ แต่ฝ่ายอิทธานุภาพแห่งสามเณร ผู้เป็นพาลทารกน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก มหาบุรุษลักษณะ ๓๒ ประการ ซึ่งปรากฎในสรีรกายแห่งอุปเรวตสามเณรนั้น ละม้ายประดุจว่า เป็นมหาบุรุษลักษณะ ซึ่งปรากฎอยู่ในพระสรีรกายพระผู้มีพระภาค จึงมีดำริว่าตัวเรานั้นสืบไปในอนาคตกาลก็สมควร เพื่อจะเป็นเช่นนี้บ้าง ดำริดังนี้แล้วพระยานาคราช ก็ถวายมหาทานสิ้นเจ็ดวัน แล้วจึงตั้งปณิธานว่าข้าแต่พระผู้มีพระภาค ด้วยอานุภาพกองกุศลกรรม ที่ข้าพระองค์ได้กระทำ เป็นอันยิ่งนี้สืบไปในอนาคตกาล ขอให้ข้าพระองค์บังเกิดเป็นพระพุทธชิโนรส แห่งพระพุทธเจ้าพระองค์หนึ่ง ประดุจดังอุปเรวตสามเณรนี้เถิด พระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาเห็นว่า ความปรารถนาแห่งพระยานาคราช คงจะสำเร็จหาอันตรายมิได้ พระองค์จึงทรงตรัสพยากรณ์ว่า พระยานาคราชนี้จะได้เป็นพระโอรสแห่งพระพุทธเจ้า พระนามว่าพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งจะได้มาตรัสในอนาคตกาล ครั้นพยากรณ์แล้วก็เสด็จหลีกไปจากสถานที่นั้น
            ฝ่ายพระยานาคราช ครั้นถึงกึ่งเดือนแล้วก็ไปสู่ที่เฝ้าอมรินทรากับด้วยท้าววิรูปักขันมหาราชอีก อมรินทรา จึงตรัสถามปฐรินทรนาคราชว่า เทวโลกนี้สหายได้ตั้งความปรารถนาแล้วหรือ พระยานาคราชตอบว่า ข้าพระบาทได้ตั้งถวายปรารถนาไว้ว่า ในอนาคตกาลขอให้ข้าพเจ้าเป็นโอรสแห่งพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง แม้พระองค์ก็จงกระทำความปรารถนาไว้สักอย่างหนึ่งเถิด เราทั้งสองคนก็จะได้พบกัน จะมิได้พรัดพรากจากกันในที่อันบังเกิดและบังเกิดนั้น
            องค์อมรินทราธิราชก็รับวาจาแห่งพระยานาคราช แล้วพระองค์ได้เห็นพระภิกษุ ผู้ประกอบด้วยมหิทธานุภาพองค์หนึ่ง จงทรงพิจารณาว่า กุลบุตรผู้นี้ออกจากตระกูลและบรรพชา กุลบุตรผุ้นี้เป็นบุตรแห่งตระกูลอันอาจสามารถเพื่อจะดำรงขึ้นซึ่งบ้านเมือง อันแตกทำลายแล้วอาจกู้ให้เป็นปกติได้ และกุลบุตรผู้นี้ประกอบด้วยศรัทธาได้ทำการอดอาหารถึง ๑๔ เวลา ยังมารดาบิดาให้อนุญาตบรรพชาให้แล้ว ออกบรรพชาในพระพุทธศาสนา องค์อมรินทราธิราช ครั้นทรงทราบแล้วจึงทูลถามพระผู้มีพระภาค แล้วพระองค์ก็ทรงกระทำสักการะบูชาพระผู้มีพระภาคเป็นอันมากสิ้นเจ็ดวัน แล้วจึงตั้งปณิธานว่า ขอให้ข้าพระองค์ได้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายข้างบวชด้วยศรัทธา ในพระศาสนา พระพุทธเจ้าองค์หนึ่งในอนาคตกาลดุจกุลบุตรผู้นี้ในพระศาสนาของพระองค์เถิด พระผู้มีพระภาคทรงพิจารณาเห็นว่าความปรารถนาแห่งองค์อมรินทราธิราชนั้นจะสำเร็จหาอันตรายมิได้ พระองค์จึงตรัสพยากรณ์ว่า สืบไปในอนาคตกาลองค์อมรินทราธิราชจะได้เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลายฝ่ายข้างบวชด้วยศรัทธาแห่งพระโคดมสัมมาสัมพุทธเจ้า ครั้นตรัสพยากรณ์แล้วก็เสด็จหลีกไป องค์อมรินทราธิราชก็เสด็จกลับสู่พิภพแห่งตน
            ชนทั้งสองคือ องค์อมรินทราธิราช และพระยาปฐรินทรนาคราช ครั้นจุติจากที่บังเกิดแห่งตน ๆ แล้ว เวียนว่ายอยู่ในเทวคติ และมนุษยคติสิ้นกาลช้านาน ล่วงเสียซึ่งพันกัปเป็นอันมาก ครั้นมาที่สุดแห่ง ๙๒ กัป นับถอยหลังตั้งแต่ภัททกัปนี้ลงไป พระปุสสสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาอุบัติในโลกนี้ และพระพุทธบิดาทรงพระนามว่า พระเจ้ามหินทรราช พระปุสส พุทธเจ้ามีพระกนิฏฐราชน้องชายต่างมารดาอยู่สามองค์ พระพุทธบิดาทรงมาสำคัญเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าก็เป็นของเรา พระธรรมเจ้าก็เป็นของเรา พระสังฆเจ้าก็เป็นของเรา แล้วพระองค์ก็ยังพระพุทธเจ้าให้เสวยพระกระยาหารด้วยพระองค์เอง มิได้ให้ผู้ใดถวายทานแก่พระพุทธเจ้า อยู่มาวันหนึ่ง ปัจจันตชนบทแห่งกษัตริย์พระองค์นั้น กำเริบด้วยปรปักษ์ปัจจามิตร กษัตริย์จึงตรัสเรียกพระราชบุตรทั้งสามเข้ามาดู แล้วตรัสว่า บัดนี้ปัจจันตชนบทนั้นกำเริบ เจ้าทั้งสามก็ดีหรือว่าพระบิดาก็ดีจะต้องไประงับให้สงบ พระบิดาจะออกไปปราบปรปักษ์ เจ้าทั้งสามจงอยู่ปฎิบัติพระทศพลเจ้าของเรา ราชบุตรทั้งสาม ขออาสาไปปราบปัจจามิตรเอง และยกกำลังไปกำจัดพวกขบถได้ชัยชนะ ก็ยกโยธากลับพระนคร ระหว่างทางได้ปรึกษาข้าทูลละอองพระบาททั้งหลายว่า เมื่อไปถึงพระนครแล้วพระบิดาก็จะทรงประทานพรให้แก่เรา เราจะรับพระพรอย่างไรดี พวกเหล่านั้นจึงกราบทูลว่า ขอพระองค์จงรับเอาพร ถือข้อปฏิบัติพระพุทธเจ้า ผู้เป็นพระเซษฐาธิราชแห่งพระองค์เถิด แต่เมื่อพระราชบุตรทั้งสามกราบทูลขอพระราชทานพรดังกล่าวว่าขอให้ตนทั้งสามได้ปฏิบัติพระพุทธเจ้า พระบรมกษัตริย์ ก็ตรัสว่าย่อมให้ไม่ได้ แต่เมื่อพระราชบุตรทั้งสามยืนยันเหมือนเดิม พระองค์ขัดไม่ได้จึงตรัสอนุญาต
            พระราชบุตรทั้งสามก็พร้อมใจกันสมาทานศีล ๑๐ แล้วตั้งบุรุษสามคนเป็นผู้ดูแลโรงทาน คอยจัดแจ่งงานตกแต่งทานวัตร ถวายแก่พระพุทธเจ้า โดยที่บุรุษผู้หนึ่งเป็นพนักงานที่จะยังธัญญาหารข้าวเปลือกให้บังเกิด บุรุษอีกผู้หนึ่งเป็นพนักงานการนับการตรวจ และบุรุษอีกผู้หนึ่งเป็นพนักงานการตกแต่งทาน
            ครั้นมาในปัจจุบันภพนี้ บุรุษผู้เป็นพนักงานยังข้าวเปลือกให้บังเกิด ได้มาบังเกิดเป็นกษัตริย์พระนามว่าพระยาพิมพิสาร บุรุษผู้นับอ่านตรวจตรานั้น มาบังเกิดเป็นวิสาขอุบาสก และบุรุษผู้จัดการตกแต่งทานวัตรนั้น ได้มาบังเกิดเป็นพระรัฏฐปาลเถระ
            ฝ่ายพระราหุลเถระ ในกาลเมื่อศาสนาแห่งพระพุทธกัสสปสัมมาสัมพุทธเจ้านั้น ท่านได้บังเกิดเป็นพระราชโอรสผู้ใหญ่แห่งพระเจ้ากิงกิราช ทรงพระนามว่าพระปฐวินทรราชกุมาร มีพระกนิฏฐภคินีอยู่เจ็ดองค์ ทั้งเจ็ดองค์ได้สร้างพระบริเวณทั้งเจ็ดวิหารถวายพระกัสสปพุทธเจ้า  ส่วนพระปฐวินทรราชกุมาร ได้เป็นที่อุปราชฝ่ายหน้าได้ตรัสแก่พระน้องนางทั้งเจ็ดว่า บริเวณทั้งเจ็ดนั้นจะแบ่งให้พี่สักวิหารเถิด พระน้องนางทั้งเจ็ดตอบว่าให้พระเชฏฐาสร้างบริเวณวิหารอันอื่นเถิด พระมหาอุปราชจึงสร้างพระวิหารถึง ๕๐๐ตำบล
            พระมหาอุปราชได้อุตส่าห์บำเพ็ญพระราชกุศลอยู่จนกำหนดพระชนมายุแล้วได้ไปอุบัติในเทวโลก ครั้นมาในพระพุทธศาสนาพระพุทธเจ้าแห่งเรา พระปฐวินทรกุมารก็ได้ไปบังเกิดในครรภ์แห่งพระพิมพา ราชเทวี ผู้เป็นอัครมเหสี แห่งพระบรมโพธิสัตว์เจ้าของเรา ฝ่ายสหายแห่งพระปฐวินทรกุมาร เมื่อยังเป็นพระยาปฐรินทรนาคราชคือองค์อมรินทราธิราชนั้นได้มาบังเกิดในเรือนรัฏฐปาลเศรษฐี ในแคว้นนครกุรุราษฐ์
            ในกาลครั้งนั้น พระผุ้มีพระภาคเจ้าได้บรรลุพระปรมาภิเษกอนุตตรสัมโพธิญาณแล้ว และตรัสสัทธรรมเทศนาพระธรรมจักกัปปวัตตนสูตรเสร็จแล้ว และเสด็จมาสู่กรุงกบิลพัสด์ ยังพระราหุลกุมารบรมชิโนรสให้บรรพชาในพระพุทธศาสนา เมื่อพระราหุลกุมารทรงบรรพชาแล้ว พระผู้มีพระภาค จึงทรงตรัสเทศนาราหุลโอวาทสสูตร ด้วยสามารถให้โอวาทสั่งสอนเนือง ๆ เฉพาะวัน ๆ แก่พระราหุลสามเณร พระราหุลสามเณรนั้น ครั้นลุกขึ้นเช้าแล้ว จึงหอบทรายด้วยฝ่าพระหัตถ์ขึ้นแล้ว จึงกล่าววาจาว่า วันนี้เราพึงได้โอวาทแต่สำนักแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้าก็ดี แห่งอาจารย์และพระอุปัชฌาย์ก็ดี ให้ได้ประมาณเท่าเมล็ดทรายในกำมือนี้เถิด ด้วยคำสั่งสมมาก็บังเกิดในท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์ว่า ราหุลสามเณรนี้เป็นบุคคลควรแก่โอวาท เป็นบุตรอันสมควรแก่บิดา
            พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบวาระน้ำจิตพระสงฆ์ทั้งปวงแล้ว จึงทรงพระสันนิษฐานกำหนดในพระทัยว่า เมื่อตถาคตเสด็จไปแล้ว พระธรรมเทศนาอันหนึ่ง ก็จะเจริญแท้จริง คุณแห่งพระราหุลก็จะปรากฎไป ดังนี้แล้วพระองค์ก็เสด็จพุทธดำเนินไปยังโรงธรรมสภา ตรัสเรียกพระสงฆ์ทั้งปวงมาแล้วจึงมีพระพุทธฎีกาตรัสถามว่า ท่านทั้งหลายมาสนทนากันด้วยประการใด บรรดาพระภิกษุสงฆ์จึงกราบทูลว่า กระหม่อมฉันทั้งปวง สนทนาความที่ราหุลสามเณร เป็นบุตรควรแก่โอวาท พระผู้มีพระภาคเจ้ามีพระพุทธประสงค์ เพื่อจะแสดงคุณแห่งพระราหุลสามเณรให้ปรากฎ จึงนำเอามิคชาดก มาตรัสเทศนาโดยพิสดาร ในกาลเมื่อพระราหุลสามเณรมีพระวัสสาได้เจ็ดขวบแล้ว
            พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสเทศนา อัมพลัฎฐิยราหุโลวาทสูตร ว่า บุคคลอย่าพึงกล่าวซึ่งสัมปชานมุสาวาท เพื่อประโยชน์แก่อันคะนองเล่นด้วยภาวะเป็นคนหนุ่ม  เดิมตั้งแต่พระราหุลสามเณรมีพระวัสสาได้ ๑๘ ขวบนั้น พระผู้มีพระภาคจึงตรัสเทศนาถึงที่สุดแห่งมหาราหุโลวาทสูตร แก่ราหุลสามเณรผู้เข้าไปเที่ยวบิณฑบาต ณ เบื้องพระปฤษฎางค์ของพระองค์ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงทราบว่าปัญญาแห่งพระราหุลสามเณรนั้น แก่กล้าแล้วในกาลเมื่อพระราหุลเป็นภิกษุมีวัสสาได้ ๑๘ ปีนั้น  พระองค์ทรงนั่งอยู่ ณ ราวป่าอันธวัน แล้วตรัสเทศนา จุลราหุโลวาทสูตร ครั้นจบพระสัทธรรมเทศนาแล้ว พระราหุลเถระกับเทพดาทั้งหลาย ก็ได้บรรลุพระอรหัตรปฎิสัมภิทาญาณ ฝ่ายเทพดาทั้งหลายที่สำเร็จแต่เพียงพระโสดา สกิทาคา จะคณนามิได้
            ครั้นยืดไปในสมัยเบื้องหน้า พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงทรงตั้งพระราหุลเถระไว้ในอัครฐานอันเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ข้างมีความปรารถนาซึ่งการศึกษาในพระพุทธศาสนานี้
            กล่าวถึงพระรัฎฐปาลเถระ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จเที่ยวจาริกไปในแคว้นกุระราษฐ์ บรรลุถึงโกฎฐิตนิคมแล้ว รัฎฐปาลกุลบุตร ได้สดับพระสัทธรรมเทศนา พระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ศรัทธาในพระพุทธศาสนาแล้ว ก็ยังมารดา และบิดาให้อนุญาต แล้วออกบรรพชาในมหาเถระองค์ใดองค์หนึ่ง ด้วยพระพุทธบรรพชา แห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า นับแต่วันที่รัฎฐปาลกุลบุตรบรรพชามานั้น เศรษฐีผู้เป็นบิดาพระรัฎฐปาล ครั้นเห็นพระภิกษุทั้งปวงไปแทบประตูเรือนของตนแล้ว ก็ได้บริภาสด่าว่าตัดพ้อพระสงฆ์ทั้งปวง ตกว่าเห็นพระภิกษุทั้งปวงเข้าแล้วก็ย่อมบริภาสต่าง ๆ นานา พระผู้มีพระภาคเจ้าประทับอยู่ใน ถุลลโกฎฐิตนิคมได้กึ่งเดือนแล้ว ก็เสด็จไปสู่พระนครสาวัตถี
            ลำดับนั้น พระรัฎฐปาลเถระ อุตส่าห์กระทำสมณธรรมด้วยโยนิโสมนสิการ เจริญวิปัสสนากรรมฐาน ก็ได้บรรลุพระอรหัตเป็นมหาขีณาสพ ท่านได้ขออนุญาตพระผู้มีพระภาคเจ้าไปยังถุลลโกฎฐิตนิคม เพื่อเยี่ยมเยือนมารดาและบิดา ท่านได้เที่ยวไปเพื่อจะบิณฑบาตในถุลลโกฎฐิตคาม และได้ขนมถั่วบูดในเรือนบิดา ท่านได้ฉันขนมถั่วบูดนั้น โดยปราศจากความรังเกียจ ครั้นบิดาอาราธนาท่านก็รับนิมนต์ ครั้นเวลารุ่งเช้าท่านก็เข้าไปฉันอาหารบิณฑบาตในนิเวศน์ของบิดา ท่านได้ยัง อสุภสัญญาให้บังเกิดขึ้นในสตรี ครั้นเมื่อพ้นจากสตรีภาพทั้งปวงแล้ว ท่านก็เหาะขึ้นไปในเวหาส ไปยังสวนพระราชอุทยานของพระเจ้าโกรพยราช นั่งเหนือแผ่นศิลาอาสน์แล้ว ก็แสดงพระสัทธรรมเทศนาแก่พระยาโกรพยราช ครั้นแล้วท่านก็เที่ยวจาริกไปโดยอนุกรมลำดับ แล้วเข้าไปในสำนักพระผู้มีพระภาคเจ้า
            พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงสถิต ณ ท่ามกลางพระอริยสงฆ์สาวกแล้ว จึงตรัสตั้งพระรัฎฐปาลเถระไว้ในอัครฐานที่อันเลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ฝ่ายข้างบวชด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนา
            พระมหาเถระเจ้าทั้งสององค์ มีดำรงพระชนมายุอยู่ครบถ้วนกาลกำหนดแล้ว ก็ดับขันธ์เข้าสู่ปรินิพพานด้วย อนุปาทิเสสปรินิพพานธาตุ ดับกรรมชรูป และวิบากขันธ์สิ้นเสร็จหาเศษมิได้

พระรัฐปาลเถระ คลิกอ่านหน้าต่อไป ==>next

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

ภาพงานบุญ










india2553

dj100.25พาเที่ยวอินเดีย



หลวงพ่อพุทธเมตตาที่พุทธคยา

DSC08813 



 
Design by Wordpress Templates | Bloggerized by Free Blogger Templates | Web Hosting Comparisons